The Smashing Machine (2025)

เป็นที่ทราบกันว่าภาพยนตร์ The Smashing Machine (2025) ได้รับการฉายรอบปฐมทัศน์แล้ว และมีบทวิจารณ์ออกมาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการแสดงที่น่าทึ่งของ ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) ในบทบาทที่พลิกบทบาทที่สุดในชีวิต


รีวิวและวิจารณ์ฉบับเต็ม: The Smashing Machine (2025)

 

คะแนน IMDB (โดยประมาณ): (ยังไม่มีคะแนนที่สรุป แต่คาดว่าอยู่ในช่วง) 6.9 – 7.5 / 10 คะแนน Rotten Tomatoes (อิงตามนักวิจารณ์): 76% คะแนน Metacritic (อิงตามนักวิจารณ์): 69/100 รางวัลที่ได้รับ: Silver Lion จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิส (Venice International Film Festival)

ผู้กำกับ/ผู้เขียนบท: เบนนี่ ซาฟดี้ (Benny Safdie) อิงจากสารคดี: The Smashing Machine: The Life and Times of Extreme Fighter Mark Kerr (2002) โดย John Hyams นักแสดงนำ:

  • ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) เป็น มาร์ก เคอร์ (Mark Kerr)
  • เอมิลี่ บลันท์ (Emily Blunt) เป็น ดอว์น สเตเปิลส์ (Dawn Staples) (ภรรยาของเคอร์ในช่วงนั้น)
  • ไรอัน เบเดอร์ (Ryan Bader) เป็น มาร์ก โคลแมน (Mark Coleman) (เพื่อนนักสู้)
  • บาส รุทเทน (Bas Rutten) เป็น บาส รุทเทน (โค้ช/ตัวเอง)

 

เรื่องย่ออย่างละเอียด (Plot Summary)

 

The Smashing Machine เป็นภาพยนตร์ดราม่าชีวประวัติที่กำกับโดย เบนนี้ ซาฟดี้ (จาก Uncut Gems และ Good Time) โดยเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผกผันของนักกีฬาต่อสู้แบบผสม (MMA) ระดับตำนานอย่าง มาร์ก เคอร์ ในช่วงปลายยุค 90 ถึงต้นยุค 2000

  1. จุดสูงสุดของ “เครื่องจักรสังหาร”: ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยการนำเสนอ มาร์ก เคอร์ (Dwayne Johnson) ในฐานะนักมวยปล้ำสมัครเล่นที่มีความสามารถและต่อมากลายเป็นแชมป์ผู้ยิ่งใหญ่ของ UFC และ Pride Fighting Championships ในญี่ปุ่น เขามีฉายาว่า “The Smashing Machine” ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตและสไตล์การต่อสู้ที่ดุดัน เขาดูเหมือนเป็นพลังที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ซึ่ง ณ จุดนี้ เขาไม่สามารถจินตนาการถึงความพ่ายแพ้ได้เลย
  2. ชีวิตเบื้องหลังความสำเร็จ: ชีวิตของเคอร์ในช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทั้งจากความคาดหวังในการแข่งขัน และความกดดันทางร่างกายที่นำไปสู่การบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
  3. วังวนของการเสพติด (The Addiction): ด้วยอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เคอร์เริ่มพึ่งพา ยาแก้ปวดประเภทโอปิออยด์ (Opioids) ซึ่งนำไปสู่การเสพติดที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต การเสพติดนี้กลายเป็นสงครามภายในที่เคอร์ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง
  4. ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน: ภาพยนตร์เจาะลึกความสัมพันธ์ที่สับสนและตึงเครียดกับ ดอว์น สเตเปิลส์ (Emily Blunt) ภรรยาของเขา ดอว์นเป็นทั้งผู้สนับสนุนและผู้ที่ต้องทนรับกับอารมณ์ที่รุนแรงและพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ของเคอร์ในช่วงที่เขากำลังต่อสู้กับสารเสพติด ฉากการทะเลาะวิวาทในบ้านระหว่างทั้งสองถือเป็นช่วงที่เข้มข้นทางอารมณ์ที่สุด
  5. การดิ่งลงและการพยายามกลับมา (Spoiler): อาชีพการต่อสู้ของเคอร์เริ่มตกต่ำเมื่ออาการติดยาและความไม่มั่นคงทางจิตใจส่งผลกระทบต่อผลงานในการชก เขาเริ่มพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สื่อและแฟน ๆ มองว่าเขาเป็น “อดีตแชมป์” ที่หมดสภาพ ภาพยนตร์ติดตามการเดินทางของเคอร์ในการพยายาม เลิกยา และ กลับเข้าสู่สังเวียนอีกครั้ง โดยมี มาร์ก โคลแมน เพื่อนนักสู้เป็นผู้ให้การสนับสนุน
  6. การจบแบบไม่ตามสูตร (Anti-Climactic End): The Smashing Machine หลีกเลี่ยงบทสรุปแบบหนังแนวกีฬาทั่วไปที่จบด้วย “ชัยชนะอันรุ่งโรจน์” ซาฟดี้เลือกที่จะจบเรื่องราวของเคอร์โดยเน้นไปที่ชีวิตที่แท้จริงหลังจากความรุ่งโรจน์และดราม่าผ่านไปแล้ว โดยปิดท้ายด้วยฉากที่เน้นย้ำถึงชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นมนุษย์ธรรมดาของ มาร์ก เคอร์ตัวจริง ซึ่งให้ความรู้สึก สลัวหม่น (Haunting) และไม่สมบูรณ์แบบตามขนบ

 

บทวิจารณ์เชิงวิพากษ์ (Critique)

 

The Smashing Machine ถูกยกย่องว่าเป็น “ภาพยนตร์ต่อสู้ที่ไม่ได้เน้นชัยชนะ” แต่เป็น “ภาพยนตร์ดราม่าความสัมพันธ์และการเสพติด” ที่มีสังเวียน MMA เป็นฉากหลัง

  • การแสดงแห่งชีวิตของดเวย์น จอห์นสัน: นี่คือ การพลิกบทบาทครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในอาชีพของ “The Rock” นักวิจารณ์ต่างยกย่องว่าจอห์นสันหายไปอย่างสิ้นเชิงภายใต้การแต่งหน้าด้วยซิลิโคนที่ละเอียดอ่อนและทรงผมที่แปลกตา เขาสามารถถ่ายทอดภาพของ “ยักษ์ใหญ่ผู้แสนอ่อนโยน” ที่มีด้านมืดอันซ่อนเร้น ความ เปราะบาง และความอับจนหนทางของเคอร์ได้อย่างลึกซึ้ง หลายคนมองว่านี่เป็นผลงานที่คู่ควรกับรางวัลออสการ์
  • ลายเซ็นของเบนนี้ ซาฟดี้: ซาฟดี้จงใจ หลีกเลี่ยงสูตรสำเร็จของหนังแนวกีฬา โดยฉากต่อสู้ส่วนใหญ่ถูกถ่ายทำจากมุมมองภายนอก หรือถูกบดบังด้วยเชือกสังเวียน ซึ่งทำให้ผู้ชมไม่ได้รู้สึกร่วมในแอ็กชันมากนัก แต่ถูกผลักให้ไปสนใจใน จิตใจที่พังทลาย ของเคอร์แทน การกำกับของเขาดิบและสมจริง โดยใช้กล้อง 16mm สร้างบรรยากาศที่เหมือนสารคดีในยุค 90
  • การแสดงอันยอดเยี่ยมของเอมิลี่ บลันท์: เอมิลี่ บลันท์ ในบท ดอว์น ก็ได้รับคำชมอย่างสูงแม้ว่าบทจะถูกมองว่าค่อนข้าง น่ารำคาญและซ้ำซาก (Repetitive) เธอถ่ายทอดความขัดแย้ง ความต้องการ และความรักอันเป็นพิษต่อเคอร์ได้อย่างทรงพลัง ทำให้ฉากที่ทั้งสองปะทะกันเป็น “ระเบิดทางอารมณ์” ที่ดึงดูดความสนใจ
  • จุดที่ถูกวิจารณ์:
    • จังหวะและโครงสร้างเรื่อง: ภาพยนตร์มีจังหวะที่ เนิบช้า (Slow Cadence) และบางครั้งการพยายามหลีกเลี่ยงสูตรสำเร็จก็ทำให้โครงเรื่องดู ขาดความสมบูรณ์ และ ขาดจุดไคลแม็กซ์ทางอารมณ์ ที่ผู้ชมหนังแนวดราม่าคุ้นเคย
    • ตัวละครดอว์น: แม้บลันท์จะแสดงได้ดี แต่บทของดอว์นถูกมองว่า ตื้นเขิน และเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เคอร์ทรุดลงเท่านั้น
    • ฉากจบ: นักวิจารณ์บางส่วนมองว่าฉากจบที่ใช้ฟุตเทจของ มาร์ก เคอร์ ตัวจริง นั้น แปลกประหลาด และดู ไม่เข้ากับโทน ของภาพยนตร์ที่สร้างมาอย่างดี

ตัวอย่างหนัง

 

สรุป:

The Smashing Machine ไม่ใช่หนังแนวกีฬาที่ให้ความหวัง แต่มันคือ ภาพยนตร์ดราม่าชีวประวัติที่หยาบกร้าน เปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเลือด เป็นการพาผู้ชมเข้าไปสำรวจด้านมืดของอาชีพการต่อสู้และการเสพติดได้อย่างถึงแก่น โดยมี ดเวย์น จอห์นสัน มอบการแสดงที่น่าจดจำที่สุดในอาชีพของเขา แม้ว่า เบนนี่ ซาฟดี้ จะทำให้เรื่องราวของเคอร์ หลุดพ้นจากพิมพ์นิยม ได้สำเร็จ แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกว่า ขาดความพึงพอใจทางด้านการเล่าเรื่อง (Narrative Satisfaction) แต่ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ทรงพลังและควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *